เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๙ ธ.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

ตั้งใจฟังธรรม.. ฟังธรรมนะถ้าฟังธรรม เราอยู่กับครูบาอาจารย์ไง บอกว่าถ้าฟังธรรม ถ้าธรรมมันสะเทือนหัวใจนี่ขนลุกเลย ถ้าขนลุกขนพองนี่นะคนนั้นมีโอกาส คำว่ามีโอกาส เห็นไหม เราฟังกันสักแต่ว่าฟัง พอสักแต่ว่าฟังมันไม่สะเทือนใจ ถ้ามันสะเทือนใจมันมีการเปลี่ยนแปลง

มโนกรรม.. สรรพสิ่งเกิดขึ้นมาจากความคิด สรรพสิ่งเกิดขึ้นมาจากความรู้สึกก่อน ถ้ามันไม่มีความรู้สึกไม่มีความนึกคิด สิ่งที่การกระทำออกมาไม่มีมโนกรรมนะ กายกรรม วจีกรรมเกิดขึ้นไม่ได้ กายกรรม วจีกรรมเกิดขึ้นจากมโนกรรม.. ทีนี้คำว่ามโนกรรม เห็นไหม อย่างสิ่งที่เราทำ ก็ว่าสิ่งนั้นทำแล้วมันเป็นบาปๆ

เวลาความคิดนี่มันไม่มีผลทางกฎหมาย มันไม่มีผลต่อความรู้สึกของคนอื่นว่าความคิดอันนี้มันทำลายคนอื่น แต่ความคิดอันนี้มันทำลายเราก่อน เพราะเวลาเราคิดขึ้นมาแล้วมันต้องเตือนหัวใจเราก่อน ถ้ามันเตือนหัวใจเราก่อนแล้วเราค่อยคิดออกไปว่าจะทำสิ่งใด

แต่ถ้าคิดทำคุณงามความดีล่ะ.. คิดจะทำคุณงามความดี เห็นไหม ถ้าคิดทำคุณงามความดีคิดเพื่ออะไร คิดเพื่อหัวใจดวงนี้ไง เพราะคุณงามความดีหรือความบาปอกุศลก็แล้วแต่มันเกิดขึ้นมาจากจิต

มันเกิดขึ้นมานะ.. การเจตนา “เจตนา เจตสิก” เจตนาคือเจตนาการกระทำออกไป เจตสิกคือว่าสิ่งที่ย้อนกลับทวนเข้าไปสู่หัวใจ สิ่งนั้นสะเทือนหัวใจทั้งหมด หัวใจนี้เป็นที่ดูดซับสิ่งต่างๆ ไว้นี้เป็นสมบัติของใจ ถ้าสมบัติของใจเห็นไหม เวลาทำบุญกุศลขึ้นมา นี่ถ้าเรามองกันด้วยสายตาหยาบๆ สิ่งที่เสียสละออกไปนี้เป็นวัตถุ สิ่งที่เป็นวัตถุนี่พระเขาบอกให้ทำทานๆ พระเป็นผู้ที่ได้ผลประโยชน์

ถ้าหัวใจเป็นธรรมสิ่งนั้นเป็นทุกข์นะ เป็นทุกข์เพราะอะไร เพราะสิ่งที่เขาเสียสละมานี้เราจะกระทำประโยชน์สิ่งใด ทำให้มันไม่ให้ตกไม่ให้หล่นไง ถ้าคำว่าตกหล่นคือเรามีความบกพร่อง มันถึงมีข้อวัตรปฏิบัติ เห็นไหม ข้อวัตรปฏิบัติ ! มีข้อวัตร..

ถ้ามีข้อวัตรเป็นบรรทัดฐาน พอเป็นบรรทัดฐาน พระเราอยู่กันด้วยข้อวัตรปฏิบัติ สิ่งนี้จะดัดแปลงหัวใจของเรา แต่ความคุ้นชิน สิ่งใดที่ทำทุกวันๆ มันจะคุ้นชิน พอคุ้นชินเข้าไป สิ่งต่างๆ ทำไปมันก็มีแต่ความบกพร่อง นี่มันถึงต้องมีสติ

คำว่ามีสตินี้ตอกย้ำหัวใจของเราให้มันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน ถ้ามันมีหลักเกณฑ์ขึ้นมาแล้ว การทำสิ่งใดนี่จะเป็นประโยชน์ ถ้าเป็นประโยชน์ นี่ฟังธรรมมันสะเทือนหัวใจ ถ้าไม่ฟังธรรม หรือสิ่งที่การกระทำมันไหลลงไปไง น้ำไหลลงที่ต่ำโดยปกติของมัน ความรู้สึกความนึกคิดของคนออกมาจากจิต ถ้าออกมาจากจิต นี่พลังงานมันส่งออกไปตลอดเวลา เวลาเราเหนื่อยเราล้า เห็นไหม มันควรจะจบทำไมมันไม่จบล่ะ พอความคิดจบขึ้นมา เดี๋ยวมีความคิดใหม่เกิดขึ้นมา

เหมือนกินอาหารเลย นี่เราอยากอาหารที่เอร็ดอร่อย ที่ไหนที่มันมีอาหารนั้นเราก็อยากจะไปกิน พอกินทุกวันๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าเรานานๆ หนหนึ่ง.. ความคิดก็เหมือนกัน พอความคิดเกิดขึ้นมา พอคุ้นชินกับมันแล้วมันก็แบบว่ามันไม่กระเทือนหัวใจ แต่เดี๋ยวคิดใหม่ก็เจ็บช้ำอีก เดี๋ยวก็คิดใหม่อีกมันไม่จบไม่สิ้นหรอก เพราะอะไร เพราะพลังงาน เห็นไหม ธาตุรู้.. พลังงานสันตติ

คำว่าสันตติของเขานี่ว่าเกิดดับๆ ไม่ใช่หรอก ! สันตติคือมันเกิดตลอดเวลา นี่พลังงานนี้มันส่งตลอดเวลา เพียงแต่ว่ามันเสวยอารมณ์ เสวยเข้าไปมันเข้ารหัสไง เข้ารหัสเรื่องความคิดสิ่งใดล่ะ ถ้าเข้ารหัสเรื่องความคิดสิ่งใดมันก็มีผลกับหัวใจอย่างนั้น ฉะนั้นพอให้ผลกับหัวใจอย่างนั้น เห็นไหม สิ่งนี้มันละเอียด ละเอียดจนสัญชาตญาณเรา ความรู้สึกความนึกคิดนี่มันหยาบกว่านั้นนะ มันหยาบกว่าตัวพลังงานที่ว่าเป็นธาตุรู้ๆ สันตตินั่นน่ะ

นี้เราไปคิดเอาแต่ความรู้สึกนึกคิดเราที่หยาบๆ นี้ไปเปรียบเทียบไง ไปเปรียบเทียบว่านี่สันตติก็คือเกิดดับอย่างนั้น เกิดดับก็เหมือนจุดไฟไง จุดไฟเกิดจุดไฟดับ แต่เวลามันเกิดดับในตัวมันเองมันเกิดดับเร็วกว่านั้น เร็วกว่านั้นเราจะรู้ได้ต่อเมื่อเรามีสติปัญญาเข้าไปรู้ได้ ถ้ามันมีสติเข้าไปรู้ได้เราจะแก้ไขของเราได้ ถ้าเราไม่มีสติปัญญาสามารถเข้าไปรู้ได้เราจะไปแก้ไขสิ่งใด เราไปแก้ไขสิ่งที่เป็นเปลือกข้างนอกนี้ เห็นไหม

ผลไม้.. ผลไม้นี่เวลาเราซื้อผลไม้มามันก็มีเปลือกติดมาด้วย แต่ไม่มีใครเคยกินเปลือกเลย ปอกเปลือกทิ้ง ความรู้สึกความนึกคิดนี่มันห่อหุ้มจิตไว้ ถ้าความรู้สึกกับจิตเป็นอันเดียวกัน เวลาความคิดเราดับไป เห็นไหม เกิดดับๆ จิตนี้มันต้องดับไปด้วย มันต้องหายไปด้วย ความคิดมันเกิดดับมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่จิตไม่เคยดับ มันมีของมันตลอดเวลา ถ้ามีตลอดเวลา แต่เรารักษามันไม่เป็น รักษามันไม่ได้ นี่แล้วเราก็ไปตะครุบเงากัน ไปตะครุบที่ความคิด

ความคิดมันเกิดดับ นี่พอเกิดดับแล้วมันก็ว่าง มันว่าง.. ว่างที่ความคิด แต่มันไม่ได้ว่างที่จิตหรอก มันไม่ได้ว่างที่ตัวมันเองหรอก เพราะมันเตรียมจะคิดใหม่อีกแล้ว แล้วก็บอกว่างๆๆ ก็คิดให้มันว่างไง คิดเรื่องความคิดปั๊บ พอไปคิดเรื่องว่างก็ว่าว่างกันไป

นี้คือความรู้สึกของโลก ! นี่โลกียปัญญา.. ปัญญาของโลก ปัญญาวิทยาศาสตร์ ปัญญาที่เราสามารถพิสูจน์ด้วยสัญชาตญาณของเรา แต่ถ้าเราทำตามความเป็นจริง ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เราทำบุญกุศลมานี้ เราเสียสละนี่เสียสละเพื่ออะไร เพื่อบุญกุศล หวังบุญกุศล บุญกุศล.. บุญกุศลหมายถึงว่าความอิ่มใจ บุญกุศลคือความสุขใจ

สิ่งที่ลุ่มๆ ดอนๆ ชีวิตเรานี้มันมีลุ่มๆ ดอนๆ เป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้ามันมีหลักใจของมันนะ สิ่งใดจะเกิดขึ้นมาลุ่มๆ ดอนๆ แต่ชีวิตก็ยังมีอยู่ ถ้าชีวิตยังมีอยู่นี่เรามีโอกาสกระทำต่างๆ เวลาคนตายไปแล้วนี่หมดสิ่งต่างๆ เลย พอคนตายปั๊บ นี่เวรกรรมที่ชาตินี้มันก็ให้ผลกับจิตดวงนั้นไป..

แต่ในปัจจุบันนี้ชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ แต่เรายังมีความรู้สึก มีความนึกคิด มีสติมีปัญญาที่สามารถจะแก้ไขดัดแปลง ทำสิ่งใดก็ได้เพื่อให้เป็นคุณงามความดีของเราไปข้างหน้า สิ่งที่มันให้ผลมานี่เวรกรรมของคนมันมีอยู่

โคนันทวิสาล.. นี่มันลากเกวียนได้มหาศาลเลย จนเจ้านายไปท้าพนัน เห็นไหม แต่พูดด้วยความเยาะเย้ยถากถางนะ “เจ้าจงลากไป” พูดโดยไม่เป็นสุภาษิต โคมันน้อยใจมันก็ไม่ลากไป จนแพ้พนันแล้วเสียใจว่าทำไมถึงไม่ลาก เพราะเราพูดไม่ดี ทำไม่ดี แต่พออย่างนั้นแล้วตกลงไปพนันใหม่ คราวนี้ก็บอก “โอ๋ย.. พ่อเจ้าประคุณ ขอให้เดินเถิดนะ” มันลากเกวียนไปได้หมดเลย

การกระทำนี่ถ้ามันช่วยเหลือตัวมันเอง.. มันมีการกระทำขึ้นมา มันจะแก้ไขสิ่งที่ชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ นี้เห็นไหม แม้แต่โคนันทวิสาลนี่เขาลากได้ แต่ทำกับเขาไม่ดีเขาก็ไม่ทำให้ แต่ถ้าเราช่วยเหลือตัวเราเองก่อน เราทำการกระทำของเรา

ในเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ ถ้ามีธรรม เห็นไหม มีธรรม มีสติปัญญา มันจะเห็นคุณค่าตรงนี้ไง เห็นคุณค่าของชีวิต มันจะทุกข์มันจะยากนะ ดูสิเวลาทุกข์ยากโยมวัดกันด้วยปัจจัยเครื่องอาศัย

เวลาพระเรา เห็นไหม พระเรานี่ไม่ฉันอาหาร อดอาหารกัน.. อดอาหารเพราะอะไรล่ะ เพราะเวลาฉันอาหารเข้าไปแล้ว นี่ธาตุขันธ์มันทับจิต คือเวลาไปนั่งแล้วก็โงกง่วง ทำอะไรก็ไม่ได้สมความปรารถนา เพราะศีลธรรมคือสมบัติของพระ

สมบัติของพระคือหัวใจ สมบัติของพระคือความรู้สึก ต้องการเอาความรู้สึกไว้ในอำนาจของเราก็ผ่อนอาหาร ผ่อนอาหารไปแล้วธาตุขันธ์มันเบา เวลาไปนั่งเข้ามันก็จะมีโอกาส คือสติมันจะเร็วขึ้น ทุกอย่างมันจะเร็วขึ้น

สิ่งต่างๆ ที่ทำขึ้นมา นี่ว่าปัจจัยเครื่องอาศัยนี้จะให้ความสุข แล้วพระเราแม้แต่มีอาหาร บิณฑบาตมาก็ยังฉันแต่พอประมาณหรือว่าอดไม่ฉันเลย.. อดนอนผ่อนอาหารนี้มันมีความสุขไหมล่ะ ทำไมพระแลกมาด้วยอะไรล่ะ พระจะแลกมาด้วยอริยทรัพย์ แลกมาด้วยถ้าจิตมันสงบขึ้นมา ถ้ามันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา

นี่ความสุขอันละเอียด เห็นไหม ทรัพย์สมบัติอันละเอียดที่วัดค่ากันเป็นตัวเงินตัวทองไม่ได้ แต่มันวัดค่ากันด้วยสมบัติในหัวใจไง ถ้าหัวใจมันทำได้ พอมันทำได้มันมีความตั้งใจมีการกระทำ ถ้ามีการตั้งใจมีการกระทำนี่เพราะเราทำบุญกุศล เพราะบุญกุศลนี่เราได้ฟังธรรม ให้จิตใจมันละเอียดขึ้นไป ละเอียดขึ้นไป ถ้ามันหยาบๆ มันก็เอาแต่วัตถุนี่แหละ เอาแต่ผลประโยชน์ต่อตรงหน้า

ผลประโยชน์ตรงหน้านะถ้ามันได้มา.. นี่คนมีบุญกุศลนะ ดูสิจักรพรรดิ มีขุนนางแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว มันมีเป็นแก้วจริงๆ นะ เพราะสมัยโบราณวิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญนี่มันมีของมันเอง พระจักรพรรดิเขาอยากพิสูจน์ว่าขุนคลังแก้วของเขาจริงหรือเปล่า ไป ๒ คนนั่งเรือไปกลางแม่น้ำ แล้วบอกว่าเอาเงิน ! เอาเงิน ! ไปอยู่กลางแม่น้ำเอาเงินจะเอาที่ไหน ขุนคลังแก้วนี่ด้วยบุญบารมีนะ เอามือจุ่มลงไปในน้ำ ยกขึ้นมานะเงินขึ้นมาเลย.. นี่ขุนคลังแก้ว

นี้มันเป็นเรื่องบุญกุศล เพราะสมัยโบราณนะมันไม่มีวิทยาศาสตร์ ไม่มีสิ่งที่ว่าโลกที่เอามาเจือจานกัน มันเกิดด้วยบุญกุศลจริงๆ แต่ในปัจจุบันนี้เทคโนโลยีมันเจริญ โกหกทั้งนั้น ! โกหกทั้งนั้น ! สร้างภาพกัน..

แต่ถ้าเป็นความจริงนี่มันอยู่ที่หัวใจ มันรับรู้ได้ คนจะเข้าฌานสมาบัติคนจะเข้าอย่างไร นี่มันเข้าอย่างไร.. ฌานสมาบัติเริ่มต้นอย่างไรถึงเป็นฌานสมาบัติ นี่เข้านิโรธ.. นิโรธอย่างไร นิโรธคือการดับทุกข์ แล้วมันดับทุกข์จริงหรือเปล่า ดับทุกข์ทำไมไปเข้านิโรธอวดเขา ไปเข้าอยู่กลางสนามหลวงนั่นไปอวดชาวบ้านเขา นิโรธมันเข้าที่นั่นเหรอ

นี่เวลาโลกเจริญ เห็นไหม โลกเจริญ วิทยาศาสตร์เจริญนี่ ศาสนาก็เป็นเรื่องโลกๆ แต่เราเอาความจริงกัน เราเอาหัวใจของเรากัน.. นี่ค่าของน้ำใจ ! ค่าของน้ำใจนี้ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว สิ่งที่เราเสียสละขึ้นมาก็เพื่อให้หัวใจมันได้.. มโนกรรม นี่เหนี่ยวรั้ง.. ความรู้สึกของหัวใจ ความรู้สึกของยางเหนียวด้วยอวิชชา มันเป็นธรรมดาอย่างนั้น

การเสียสละ การทำทาน.. ในพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ ก็เพื่อการฝึกฝนดัดแปลงคน โดยบริษัท ๔ ภิกษุ-ภิกษุณี อุบาสก-อุบาสิกา.. จะรู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่ แต่ถ้าใครประพฤติปฏิบัติตามไปแล้วนะ ถ้าจิตใจมันพัฒนาขึ้นมานะจะกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย

เหมือนสอนคนโง่ๆ สอนคนตาบอด สอนคนหูหนวก อย่างเราเนี่ยท่านยังบอกให้ทำบุญกุศล เสียสละ ไอ้เราก็แหม.. เสียสละก็เสียสละไปเป็นประเพณี แต่ถ้าหัวใจมันเป็นจริงขึ้นมานี่เรื่องทาน.. พอมีทานขึ้นมาแล้วจิตใจมันพัฒนาขึ้นมา มันจะมีศีลคือความปกติของมัน เห็นไหม ถ้ามีความปกตินี่ชีวิตเราแล้ว

สิ่งใดที่ชีวิตจะลุ่มๆ ดอนๆ อย่างไรก็แล้วแต่ แต่มันยังมีชีวิตอยู่ ชีวิตนี้มีคุณค่าที่สุด ความรู้สึกมีคุณค่าที่สุด.. นี่เพราะมีเราสรรพสิ่งถึงมี เพราะมีเราตำแหน่งหน้าที่การงานถึงมี เพราะมีเรา เราถึงแสวงหาสมบัติพัสถานกันได้ เพราะมีเราตอนนี้ก็ยังทุกข์อยู่นี่ไง

เพราะมีเราถึงทุกข์ แต่ทุกข์เพราะอะไร เพราะไม่มีธรรมะมาเยียวยา ถ้ามีธรรมะมาเยียวยานี่ทุกข์ก็ทุกข์สิ ทุกข์เพราะมันเป็นการกระทำ เป็นกรรมไง เราทำกรรมมาเอง ฉะนั้นเราทุกข์เราก็ยังมีชีวิตอยู่ เรามีการแก้ไขได้ เห็นไหม สิ่งใดๆ ก็แก้ไขได้ถ้ามีธรรม.. มีธรรมจะไปหล่อเลี้ยง จะไปเยียวยา

ฉะนั้นสิ่งที่เวลาพระเรา ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจำศีลภาวนา อยู่โคนต้นไม้ อยู่ในเรือนว่าง อยู่แค่อาสนะนั่งผืนเดียวก็พอแล้ว ! มีอาสนะรองแล้วก็นั่งแค่นี้เอง ชีวิตต้องการแค่นี้เอง ไม่ต้องการอะไรเลย

แล้วถ้าจิตมันสงบมา เห็นไหม นี่ถ้าจิตใจมันละเอียดเข้ามามันรู้ของมันนะ แล้วสิ่งนั้นธรรมะมันจะเยียวยาหัวใจ ถ้าธรรมะเยียวยาหัวใจนะ มันไม่ดีดดิ้น ถ้าไม่มีธรรมะเยียวยาหัวใจมันทุกข์ เวลามันเจอสภาวะบีบคั้นนี่มันทุกข์ พอมันทุกข์ขึ้นมาไม่มีธรรมโอสถไปเยียวยาหัวใจ หัวใจก็โดนบีบคั้นแล้วหัวใจก็ทุกข์ นี่มันตีโพยตีพายไป มันดิ้นรนไปขนาดไหน มันแก้อะไรไม่ได้หรอก

แต่ถ้าตั้งสติ.. ตั้งสตินะ มีสติปัญญาขึ้นมานี่ ชีวิตนี้ยังมี ! มนุษย์เรายังมีมือ เห็นไหม มือเราทำสิ่งใดก็ได้ มือเราจะขวนขวายขนาดไหนก็ได้ จะประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จเราก็ทำของเรา เหมือนโคนันทวิสาล เราจะลากเกวียนพันเล่มนี้ไป ! ด้วยกำลังของเรา ด้วยสติของเรา ด้วยปัญญาของเรา เราทำของเราได้

ทาน ศีล ภาวนา.. พอภาวนาเข้าไปนะ พอจิตใจมันละเอียดเข้าไปนะ มันจะบอกเลยว่าสรรพสิ่งนี้เป็นอนิจจัง โลกนี้ไม่มีสิ่งใดคงที่เลย เราทั้งชีวิตนี้โง่ ! ไปยึดมั่นถือมั่นมัน ถึงที่สุดก็ต้องพลัดพรากกันไป แล้วเราจะมีสิ่งใดติดในหัวใจนี้ไป เห็นไหม พอภาวนาเกิดปัญญาขึ้นมาแล้วมันจะรู้เลยว่าอะไรเป็นสมบัติจริง อะไรเป็นสมบัติอาศัย.. สมบัติที่เราอาศัยกันเพื่อดำรงชีวิตนี้ไว้ เพื่อแสวงหาสมบัติจริงๆ ที่เป็นบุญกุศลติดกับใจนี้ไป

เวลามันพัฒนา เวลามันเกิดปัญญาขึ้นมา นี่ทาน ศีล ภาวนา.. เราทำทานกัน เราเสียสละกันเพื่อฝึกฝนหัวใจโดยข้อเท็จจริง แล้วมาฟังธรรมให้จิตใจมันมีธรรมโอสถเป็นเครื่องเยียวยา แล้วถ้าเราทำความสงบจิตใจของเรา ภาวนาของเรา มันเกิดปัญญาขึ้นมา เราจะรู้เลยว่าอะไรมีค่าไง

จิตใจเวลามันเป็นขึ้นมาแล้วไม่ต้องให้ใครสอนนะ มันจะเห็นค่าเลยว่าอะไรเป็นสมบัติจริงที่มันจะติดกับหัวใจไป เวลาชีวิตนี้ต้องพลัดพรากนี่อะไรมันลอยออกไปจากจิต อะไรมันออกไปจากร่างกายนี้ไป จิตใจนี้จะลอยออกจากร่างกายนี้ไป

ถ้าจิตใจลอยออกจากร่างกายนี้ไป แล้วสิ่งที่ไปกับมันนี้คืออะไรล่ะ ก็คือเจตนา เจตสิกที่มันทำมากับมัน.. นี่สมบัติจริงของจิตดวงนี้ไง สมบัติจริงของเราไง เรามาแสวงหาสมบัติจริงๆ ของเรา เพื่อประโยชน์กับเรานะ เอวัง